เหตุการณ์นำ ของ ความขัดแย้งในกัมพูชา พ.ศ. 2354

กัมพูชาในสมัยกรุงธนบุรี

อาณาจักรกัมพูชาในช่วงยุคมืดตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของสยามและเวียดนาม เจ้าญวนใต้ตระกูลเหงียนแผ่ขยายอำนาจลงเวียดนามภาคใต้ ซึ่งเดิมเป็นดินแดนของอาณาจักรเขมรอุดง ความขัดแย้งชิงอำนาจทางการเมืองระหว่างเจ้านายกัมพูชาต่างฝ่ายต่างขอความช่วยเหลือจากสยามหรือญวน นำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างสยามและญวนหลายครั้ง

หลังจากการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สองในพ.ศ. 2310 เจ้าศรีสังข์ ซึ่งเป็นพระโอรสในเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ (เจ้าฟ้ากุ้ง) เสด็จไปประทับที่เมืองอุดงหรือบันทายเพชรของกัมพูชาภายใต้ความคุ้มครองของนักองค์ตนหรือพระนารายณ์ราชากษัตริย์กัมพูชา ต่อมาในพ.ศ. 2312 สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงมีพระราชสาสน์ถึงพระนารายณ์ราชานักองค์ตน ให้กัมพูชาแต่งต้นไม้เงินต้นไม้ทองเครื่องบรรณาการไปถวายแก่กรุงธนบุรีดังเช่นเคยในสมัยอยุธยา พระนารายณ์ราชาทรงไม่ยอมเป็นเมืองขึ้นของสยาม “บุตรจีนหัยหงษ์ตั้งตัวขึ้นเป็นกระษัตริย์ จะให้เรานำดอกไม้เงินดอกไม้ทอง ไปถวายอย่างไรเห็นจะไม่สมควร” [1]ในพ.ศ. 2314 สมเด็จพระเจ้าตากสินมีพระราชโองการให้แต่งทัพเข้าโจมตีกัมพูชา เพื่อปราบพระนารายณ์ราชากษัตริย์กัมพูชาและเพื่อหาตัวเจ้าศรีสังข์ ทรงให้พระยายมราช (ทองด้วง) ยกทัพจำนวน 10,000 คน[2] ไปทางปราจีนบุรี พระตะบอง โพธิสัตว์ เข้าโจมตีเมืองอุดง ให้นักองค์โนนไปในกองทัพด้วย สมเด็จพระเจ้าตากสินพร้อมทั้งพระยาพิพิธ (ตั้งเลี้ยง 陳聯 หรือ เฉินเหลียน พินอิน: Chén Lián) เสด็จเป็นองค์จอมทัพไปทางเรือเข้าโจมตีเมืองบันทายมาศ นำไปสู่สงครามสยาม-เวียดนาม พ.ศ. 2314 พระยายมราชยึดได้เมืองพระตะบองเสียมราฐโพธิสัตว์และเมืองบริบูรณ์ และพระยาพิพิธยึดได้เมืองเปียมบันทายมาศ สมเด็จพระนารายณ์ราชานักองค์ตนพร้อมทั้งพระราชวงศ์จึงเสด็จลี้ภัยไปยังเมืองไซ่ง่อนประทับภายใต้ความคุ้มครองของเจ้าญวนใต้เหงียนฟุกถ่วน (Nguyễn Phúc Thuần 阮福淳)

เจ้าญวนใต้เหงียนฟุกถ่วน ส่งเหงียนกิ๋วด่าม[3] (Nguyễn Cửu Đàm 阮久潭) เป็นแม่ทัพยกทัพญวนจำนวน 10,000 คน[1] เข้าโจมตีเมืองอุดงคืนให้แก่นักองค์ตน พงศาวดารเขมรระบุว่าฝ่ายญวนสามารถเอาชนะฝ่ายไทยได้[1][3] สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงเห็นว่าเมืองกัมพูชาและบันทายมาศรักษาไว้ได้ยาก จึงมีท้องตราให้พระยายมราชและพระยาราชาเศรษฐี (ตั้งเลี้ยง) เลิกทัพกลับธนบุรี โดยตั้งพระรามราชา (นักองค์โนน) รักษาไว้ที่เมืองกำปอด ในพ.ศ. 2314 ปีเดียวกับที่สยามยกทัพโจมตีกัมพูชานั้น ในเวียดนามเกิดกบฏเตยเซินขึ้นต่อต้านการปกครองของเจ้าญวนใต้ตระกูลเหงียน ทำให้ฝ่ายญวนเสื่อมอำนาจลง ฝ่ายพระนารายณ์ราชา (นักองค์ตน) เสด็จจากไซ่ง่อนกลับกัมพูชา นักองค์ตนทรงเจรจากับนักองค์โนนซึ่งอยู่ที่เมืองกำปอด ยกราชสมบัติให้นักองค์โนนขึ้นครองราชย์สมบัติกัมพูชาเป็นสมเด็จพระรามราชาฯกษัตริย์กัมพูชาในพ.ศ. 2318 ส่วนนักองค์ตนนั้นทรงลดยศลงเป็นพระมหาอุปโยราช และให้นักองค์ธรรมเป็นพระมหาอุปราช

ในพ.ศ. 2320 พระมหาอุปราช (นักองค์ธรรม) ถูกปลงพระชนม์ และพระมหาอุปโยราช (นักองค์ตน) ล้มป่วยถึงแก่พิราลัย พระรามราชา (นักองค์โนน) จึงเป็นกษัตริย์กัมพูชาครองอำนาจอยู่แต่พระองค์เดียว ในพ.ศ. 2322 เจ้าฟ้าทะละหะ (มู) และพระยาเดโช (แทน) ขุนนางกัมพูชาสองพี่น้องซึ่งเข้าใจว่าพระรามราชานักองค์โนนทรงเป็นต้นเหตุให้นักองค์ตนและนักองค์ธรรมถึงแก่พิราลัย เจ้าฟ้าทะละหะ (มู) และพระยาเดโช (แทน) เข้าฝักใฝ่ญวนในขณะนั้นเหงียนฟุกอั๊ญหรือองเชียงสือ ตั้งอยู่ที่เมืองไซ่ง่อนเพื่อต่อสู้กับเตยเซิน องเชืองสือส่งทัพญวนเข้ามาสนับสนุนเจ้าฟ้าทะละหะ (มู) ฝ่ายเจ้าฟ้าทะละหะ (มู) จับองค์นักองค์โนนกษัตริย์กัมพูชาใส่กรงแล้วปลงพระชนม์เสียที่บึงขยอง[1] เจ้าฟ้าทะละหะ (มู) ยกเอานักองค์เองโอรสของนักองค์ตนซึ่งมีพระชนมายุเพียงสี่ชันษา ขึ้นเป็นกษัตริย์กัมพูชาต่อมาโดยที่เจ้าฟ้าทะละหะ (มู) ตั้งตนเป็นผู้สำเร็จราชการ

เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินทรงทราบว่ากัมพูชาเกิดจลาจลพระรามราชาถูกปลงพระชนม์ จึงทรงเคืองพระยายมราช (แบน) ว่าเป็นพี้เลี้ยงของนักองค์โนนกลับปล่อยให้นักองค์โนนถูกสังหาร สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงให้จับกุมตัวพระยายมราช (แบน) มากุมขังที่ธนบุรี เจ้าพระยาจักรีได้ช่วยเหลือให้พระยายมราช (แบน) พ้นโทษ พระยายมราช (แบน) จึงได้เป็นข้าหลวงเดิมนับแต่นั้น ในพ.ศ. 2324 สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงมีพระราชโองการให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก และเจ้าพระยาสุรสีห์ (บุญมา) ยกทัพเข้าตีกัมพูชาเพื่อตั้งให้เจ้าฟ้ากรมขุนอินทรพิทักษ์ขึ้นเป็นกษัตริย์กัมพูชา แต่เกิดเหตุการณ์กบฏพระยาสรรค์ขึ้นเสียก่อน สงครามครั้งนั้นจึงยุติลง

กัมพูชาในสมัยรัชกาลที่ 1

สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ในปีเดียวกันนั้นพ.ศ. 2325 องเชียงสือพ่ายแพ้ให้แก่เตยเซินเสียเมืองไซ่ง่อน หลบหนีมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารที่กรุงเทพฯ ฝ่ายเมืองกัมพูชานักองค์เองกษัตริย์กัมพูชาตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของเจ้าฟ้าทะละหะ (มู) ผู้สำเร็จราชการ พระยายมราช (แบน) และพระยากลาโหม (ปก) ร่วมมือกันสังหารเจ้าฟ้าทะละหะ (มู) ได้สำเร็จ แต่พระยาเดโช (แทน) ผู้เป็นน้องหลบหนีไปได้ พระยายมราช (แบน) ตั้งตนขึ้นเป็นเจ้าฟ้าทะละหะผู้สำเร็จราชการกัมพูชา แต่เจ้าพระพุฒ (ตวนเสด)[1] ขุนนางแขกจามสามารถยกทัพเข้ายึดเมืองอุดงได้ ทำให้เจ้าฟ้าทะละหะ (แบน) และพระยากลาโหม (ปก) จำต้องนำนักองค์เอง พร้อมทั้งพระเชษฐภคินีอีกสององค์คือนักองค์อี และนักองค์เภา นำเสด็จเดินทางลี้ภัยไปยังกรุงเทพฯ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯทรงชุบเลี้ยงนักองค์เองกษัตริย์กัมพูชาเป็นพระโอรสบุญธรรม โปรดฯให้นักองค์เองและบรรดาขุนนางกัมพูชาพำนักที่คอกกระบือ ต่อมาย้ายไปที่วังเจ้าเขมรที่คลองขุดใหม่ใต้วัดสระเกษ ส่วนนักองค์อีและนักองค์เภานั้นเป็นบาทบริจาริกาในกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท

เจ้าพระพุฒ (ตวนเสด) ยกเมืองอุดงให้แก่พระยาเดโช (แทน) ต่อมาตวนเสดถูกสังหาร พระยาเดโช (แทน) ตั้งตนเป็นเจ้าฟ้าทะละหะภายใต้การสนับสนุนของเวียดนามราชวงศ์เตยเซิน พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯทรงแต่งตั้งเจ้าฟ้าทะละหะ (แบน) เป็นเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์[4] หรือในพงศาวดารเขมรเรียกว่า”เจ้าพระยาอภัยธิเบศร์”[1] เป็นผู้สำเร็จราชการกัมพูชาฝ่ายสยามไปรักษาเมืองพระตะบอง เสียมราฐ และโพธิสัตว์ ในปีพ.ศ. 2332 เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน) ส่งทัพไปยึดเมืองอุดงได้สำเร็จ จับตัวเจ้าฟ้าทะละหะ (แทน) ส่งมาที่กรุงเทพ[1] และองเชียงสือเข้ายึดเมืองไซ่ง่อนตั้งตนเป็นเจ้าอนัมก๊กได้สำเร็จ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯมีพระราชดำริว่า นักองค์เองกษัตริย์กัมพูชายังเยาว์วัย หากอภิเษกให้นักองค์เองออกไปเป็นกษัตริย์กัมพูชาอาจเป็นอันตรายจากการแก่งแย่งอำนาจในกัมพูชา จึงทรงให้นักองค์เองประทับอยู่ในกรุงเทพก่อนและให้เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์เป็นผู้สำเร็จราชการกัมพูชารักษาการณ์

เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน) ทำหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการแทนในกัมพูชาด้วยการสนับสนุนของสยาม เป็นเวลาสิบสองปี จนกระทั่งในพ.ศ. 2337 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯพระราชทานอภิเษกนักองค์เองขึ้นเป็นกษัตริย์กัมพูชา พระนามว่า สมเด็จพระนารายณ์รามาธิบดีฯ และทรงแต่งตั้งพระยากลาโหม (ปก) พี่เลี้ยงของนักองค์เองเป็นเจ้าฟ้าทะละหะ นอกจากนี้ ยังมีพระดำริว่าเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์มิได้เป็นพวกเดียวกันกับนักองค์เอง หากรับราชการอยู่ด้วยกันอาจไม่สนิทกัน[4] จึงโปรดฯให้เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ปกครองเมืองพระตะบองและเสียมราฐ ขึ้นตรงต่อสยาม เมืองพระตะบองและเสียมราฐจึงผนวกเข้าสู่การปกครองโดยตรงของสยามกลายเป็น “เขมรใน”

พระนารายณ์รามาธิบดี (นักองค์เอง) กษัตริย์กัมพูชาอยู่ในราชสมบัติได้สองปีถึงแก่พิราลัยในพ.ศ. 2339 พระนารายณ์รามาธิบดีมีพระโอรสได้แก่นักองค์จันทร์ นักองค์สงวน นักองค์อิ่ม และนักองค์ด้วง เจ้าฟ้าทะละหะ (ปก) รักษาการกัมพูชาอยู่จนถึงพ.ศ. 2345 เจ้าฟ้าทะละหะ (ปก) จึงนำพระโอรสทั้งสี่ของพระนารายณ์รามาธิบดีมาเข้าเฝ้าฯ อยู่ที่กรุงเทพจนถึงพ.ศ. 2349 เจ้าฟ้าทะละหะ (ปก) ล้มป่วยถึงแก่อสัญกรรมที่กรุงเทพฯ[1] พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯทรงอภิเษกนักองค์จันทร์ขึ้นเป็นสมเด็จพระอุไทยราชาฯกษัตริย์กัมพูชาในพ.ศ. 2349 ในครั้งนั้นพระเจ้าเวียดนามยาล็ององเชียงสือได้ส่งตราทองมาถวายให้การรับรองแก่นักองจันทร์ด้วย[1] พระอุไทยราชานักองค์จันทร์ขอพระราชทานนักองค์อีและนักองค์เภาพระปิตุจฉาซึ่งเป็นพระสนมในกรมพระราชวังบวรฯให้กลับคืนสู่กัมพูชา พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯไม่โปรดฯพระราชทานตามคำขอเนื่องจากนักองค์อีและนักองค์เภาได้มีพระธิดาแล้ว[4] พระอุไทยราชานักองค์จันทร์กราบบังคมทูลลากลับกัมพูชาไปในพ.ศ. 2349 เข้าเฝ้าเวลาออกพระบัญชรนักองค์จันทร์เข้าไปเข้าเฝ้าเองไม่มีผู้นำเบิกตัวตามธรรมเนียม พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯพิโรธตรัสบริภาษนักองค์จันทร์ต่อหน้าข้าราชการทั้งปวง[4] นักองค์จันทร์ได้รับความอัปยศอย่างมาก พระยาเดโช (เม็ง) เจ้าเมืองกำปงสวายเป็นกบฏต่อนักองค์จันทร์ในพ.ศ. 2351[1] หลบหนีมายังกรุงเทพ นักองค์จันทร์ขอให้ทางกรุงเทพส่งตัวพระยาเดโช (เม็ง) กลับกัมพูชา แต่ทางกรุงเทพไม่ส่งให้

กบฏของพระยาจักรี (แบน) และพระยากลาโหม (เมือง)

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯเสด็จสวรรคตเมื่อพ.ศ. 2352 เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน) ถึงแก่อสัญกรรมในปีเดียวกัน พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงแต่งตั้งพระยาวิบูลราช (แบน) ขึ้นเป็นพระยาอภัยภูเบศร์เจ้าเมืองพระตะบองคนต่อมา[5] พระอุไทยราชานักองค์จันทร์ไม่ได้เดินทางไปเข้าร่วมพระราชพิธีที่กรุงเทพฯ ส่งพระอนุชาคือนักองค์สงวนและนักองค์อิ่ม พร้อมทั้งพระยาจักรี (แบน) และพระยากลาโหม (เมือง) นำเครื่องบรรณาการเข้าช่วยงานพระราชพิธีที่กรุงเทพฯ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยมีพระราชดำริว่า ในอดีตตำแหน่งย์เจ้ากัมพูชามีพระมหาอุปโยราชและพระมหาอุปราช สมควรที่จะแต่งตั้งให้ตำแหน่งครบถ้วยตามธรรมเนียมเดิม[6] จึงมีพระราชโองการแต่งตั้งให้นักองค์สงวนเป็นพระมหาอุปโยราช และนักองค์อิ่มเป็นพระมหาอุปราช พระมหาอุปโยราช (นักองค์สงวน) พระมหาอุปราช (นักองค์อิ่ม) พระยาจักรี (แบน) พระยากลาโหม (เมือง) กราบทูลลากลับกัมพูชาในปีพ.ศ. 2352 ฝ่ายพระยาเดโช (เม็ง) เมื่อไกล่เกลี่ยเจรจากันแล้ว จึงมีพระราชโองการให้พระยาเดโช (เม็ง) กลับไปกัมพูชาเช่นกัน พระยาเดโช (เม็ง) กลับไปอยู่ที่เมืองกำปงสวาย

ในปีพ.ศ. 2352 นั้น เกิดสงครามพม่าตีเมืองถลาง พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงมีศุภอักษรให้พระมหาอุปโยราชนักองค์สงวนถือออกไปให้แก่สมเด็จพระอุไทยราชานักองค์จันทร์ ให้เกณฑ์ทัพกัมพูชาเข้ามาช่วยป้องกันพระนคร แต่ทว่านักองค์จันทร์กษัตริย์กัมพูชานิ่งเฉยไม่เกณฑ์ทัพมาตามพระราชโองการ ฝ่ายพระยาจักรี (แบน) พระยากลาโหม (เมือง) และพระยาสังคโลก (เวด)[5] เจ้าเมืองโพธิสัตว์ ขุนนางกัมพูชาซึ่งฝักใฝ่สยาม เกรงว่าจะมีความผิด จึงจัดการเกณฑ์ไพร่พลเพื่อยกเข้ามาช่วยกรุงเทพ โดยไม่ได้รับอนุญาติจากสมเด็จพระอุไทยราชา สมเด็จพระอุไทยราชานักองค์จันทร์จึงทรงให้จับกุมตัวพระยาจักรี (แบน) และพระยากลาโหม (เมือง) มาประหารชีวิตไปเสียในเดือนกันยายน พ.ศ. 2353 ส่วนพระยาสังคโลก (เวด) นั้นหลบหนีมายังกรุงเทพฯ ฝ่ายพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน) ทำค่ายเมืองพระตะบองไว้เตรียมป้องกัน

สมเด็จพระอุไทยราชานักองค์จันทร์กษัตริย์กัมพูชา มีพระอักษรไปแจ้งแก่ฝ่ายญวนเจ้าเมืองไซ่ง่อนชื่อเหงียนวันเญิน (Nguyễn Văn Nhơn, 阮文仁) ว่า พระยาจักรี (แบน) และพระยากลาโหม (เมือง) เป็นกบฏ ขอบารมีพระเจ้ายาล็ององเชียงสือเป็นที่พึ่ง[6] ในเวลาเดียวกันนักองค์จันทร์มีศุภอักษรตอบเข้ามาที่กรุงเทพว่า ได้จัดเตรียมทัพไว้ยกเข้ามาช่วยพระนครแล้ว แต่เกิดกบฏของพระยาจักรี (แบน) พระยากลาโหม (เมือง) ขึ้นเสียก่อน จึงไม่ได้ยกทัพมาตามศุภอักษร ฝ่ายเวียดนามเหงียนวันเญิน ยกทัพญวนจำนวน 1,000 คน[1] จากไซ่ง่อนมาตั้งที่เกาะจีนเมืองละแวก ส่วนพระอุไทยราชานักองค์จันทร์ให้จัดทัพเข้ารักษาบริเวณเขตแดนกับสยามและเมืองพระตะบองทุกทิศทาง[6] เหงียนวันเญินส่งหนังสือถึงพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน) ที่เมืองพระตะบอง พระยาอภัยภูเบศร์ (แบน) มีใบบอกเข้ามาที่กรุงเทพฯ กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์[1]จึงมีพระบัณฑูรให้พระยาพิชัยรณฤทธิ์ พระยาอินทราบดีสีหราชรองเมือง หลวงสุเรนทรนุชิต และปลัดเมืองนครราชสีมา คุมกองทัพไปตั้งมั่นที่เมืองพระตะบอง ถือหนังสือเจรจาความไปมอบให้แก่เหงียนวันเญิน แต่ยังไม่ทันได้ส่งหนังสือ ฝ่ายเหงียนวันเญินซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองละแวกเห็นว่าฝ่ายสยามไม่ได้ยกทัพลงมา เหงียนวันเญินจึงยกทัพกลับไซ่ง่อนไปก่อนในเดือนมกราคมพ.ศ. 2354 พระยาพิชัยรณฤทธิ์และพระยารองเมืองฯจึงตั้งทัพอยู่ที่พระตะบอง

ฝ่ายกรุงเทพตัดสินว่า ถึงแม้ว่าพระยาจักรี (แบน) พระยากลาโหม (เมือง) และพระยาสังคโลก (เวด) นั้น กระทำการไปเพื่อช่วยเหลือกรุงเทพฯก็จริง แต่ก็ละเมิดพระราชอำนาจของพระเจ้ากัมพูชา[6] จึงมีความผิด อีกทั้งยังไม่ปรากฏชัดเจนว่าพระอุไทยราชานักองค์จันทร์กษัตริย์กัมพูชานั้นเป็นกบฏต่อกรุงเทพ จึงให้จับกุมตัวพระยาสังคโลก (เวด) ที่กรุงเทพไว้ พระอุไทยราชาส่งพระยาวงศาอรรคราช (ติ)[1] ยกทัพไปตีพระยาเดโช (เม็ง) ที่กำพงสวาย พระยาเดโช (เม็ง) จึงอพยพหลบหนีมายังกรุงเทพอีกครั้ง